เกี่ยวกับเรา
นโยบายการบริหารขององค์กร About Us
การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
บริษัท เอ็นเอ็มบี-มินีแบ ไทย จำกัด และ บริษัท มินีแบ เอวิเอชั่น จำกัด
วันที่ 1 มิถุนายน 2565
บริษัท เอ็นเอ็มบี-มินีแบ ไทย จำกัด และ บริษัท มินีแบ เอวิเอชั่น จำกัด เคารพในสิทธิความเป็นส่วนตัวของพนักงานและบุคคลที่เกี่ยวข้อง บริษัทจึง
ได้จัดตั้งนโยบายนี้ขึ้นเพื่อประกันว่าข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงานและบุคคลที่เกี่ยวข้องจะได้รับการคุ้มครอง ดังรายละเอียดต่อไปนี้
-
- บริษัทจะให้ความสำคัญกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และจะปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กฎหมาย ประกาศ และ
ระเบียบอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และจะจัดการกับข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวอย่างเหมาะสม - บริษัทจะกำหนดวัตถุประสงค์ของการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทได้รับมา บริษัทจะไม่ เก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผย
ข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทได้รับมาเพื่อการอื่นนอกเหนือจากวัตถุประสงค์ที่ได้กำหนดไว้ เมื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิด
เผยข้อมูลส่วนบุคคลแล้ว บริษัทจะทำลายข้อมูลดังกล่าวอย่างเหมาะสม - หากบริษัทมอบหมายให้บุคคลภายนอกดำเนินการเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทได้รับมา บริษัทจะตรวจสอบความเหมาะสมของบุคคลดังกล่าว
ในทุกด้าน และจะควบคุมและกำกับดูแลโดยจัดให้มีข้อตกลงกระทำเป็นสัญญา ว่าด้วยหน้าที่ของบุคคลดังกล่าวในด้านการรักษาความลับ การจัดการ
ข้อมูลส่วนบุคคลให้ปลอดภัย และการห้ามโอนมอบข้อมูลไปอีกทอดหนึ่ง เพื่อประกันว่าข้อมูลส่วนบุคคลจะถูกจัดการอย่างเหมาะสม - บริษัทจะไม่มอบข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้รับมาแก่บุคคลที่สามโดยไม่ได้รับความยินยอมของบุคคลที่เกี่ยวข้อง เว้นแต่มีกฎหมายหรือบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องบัญญัติให้กระทำ หรือมีเหตุผลอันชอบธรรม
- บริษัทจะจัดให้มีและรักษาไว้ซึ่งมาตรการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต การรั่วไหล การสูญหาย การเปลี่ยนแปลง การทำลาย หรือการใช้ข้อมูลโดยไม่ถูกต้อง
- บริษัทจะเผยแพร่นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทให้แก่พนักงาน พนักงานสัญญาจ้าง และพนักงานชั่วคราวทุกคนซึ่งทำงานให้กับบริษัท และจะให้ความรู้แก่พนักงานดังกล่าวตามความจำเป็น
- บริษัทจะตรวจสอบระบบการจัดการข้อมูลส่วนบุคคล การดำเนินการกับข้อมูล เอกสาร รวมถึงคู่มือต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ และจะตรวจทานและปรับปรุงการดำเนินงานในเรื่องดังกล่าวของบริษัทอย่างต่อเนื่อง
- บริษัทจะให้ความสำคัญกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และจะปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กฎหมาย ประกาศ และ
(นายโยชิฮิโระ ซากานูชิ)
ประธานบริหารประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย
คำประกาศเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว (Privacy Notice)
สำหรับพนักงาน
1. วัตถุประสงค์
คำประกาศเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวฉบับนี้ จัดทำขึ้นเพื่อชี้แจงรายละเอียดและวิธีการจัดการและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของพนักงาน ที่บริษัท
เก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผย เพื่อให้ข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง
2. นิยามศัพท์
“พนักงาน” หมายถึง ผู้ที่บริษัทตกลงว่าจ้างเป็นลูกจ้าง ไม่ว่าในตำแหน่งหรือระดับใด และให้หมายความรวมถึงที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญ นักศึกษา
ฝึกงาน ลูกจ้างรับเหมาค่าแรง ลูกจ้างที่นายจ้างส่งมาให้บริการแก่บริษัทด้วย
“บริษัท” หมายถึง บริษัท เอ็นเอ็มบี-มินีแบ ไทย จำกัด หรือ บริษัทมินีแบ เอวิเอชั่น จำกัด แล้วแต่กรณี
“ข้อมูล” หมายถึง ข้อมูลส่วนบุคคลตามที่กำหนดไว้ในมาตรฐานการบริหารจัดการและคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กลุ่มบริษัทมินีแบมิตซูมิ
(ประเทศไทย)
“ประมวลผล” หมายถึง กระบวนการดำเนินการใดๆ หรือชุดของการดำเนินการที่กระทำกับข้อมูล จะโดยวิธีการแบบอัตโนมัติหรือไม่ก็ตาม เช่น
การเก็บรวบรวม การบันทึก การจัดการอย่างเป็นระบบ การจัดโครงสร้าง การประยุกต์ การแก้ไข การกู้คืน การให้คำปรึกษา การใช้ การเปิดเผยด้วย
การส่ง การเปิดเผยด้วยการเผยแพร่หรือเข้าถึงได้โดยวิธีอื่นใด การรวมข้อมูล การจำกัด การลบหรือทำลาย เป็นต้น
ทั้งนี้ คำหรือข้อความใดที่มิได้กำหนดนิยามไว้เป็นการเฉพาะในคำประกาศเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวฉบับนี้ ให้มีความหมายตามที่กำหนดไว้ใน
มาตรฐานการบริหารจัดการและคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กลุ่มบริษัทมินีแบมิตซูมิ (ประเทศไทย) หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
3. ข้อมูลที่จัดเก็บและใช้
บริษัทมีการจัดเก็บและใช้ข้อมูลของพนักงาน ได้แก่ ข้อมูลที่ได้จัดเก็บไว้แล้วในขั้นตอนการสรรหาว่าจ้าง และยังมีความจำเป็นต้องเก็บไว้ต่อไป เช่น
ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ วันเดือนปีเกิด อายุ เพศ รูปถ่าย หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน หมายเลขโทรศัพท์ อีเมล์ ข้อมูลทางการศึกษา ชื่อบิดา-มารดา
ชื่อ-นามสกุล/ ที่อยู่/ เบอร์โทรศัพท์ ของผู้ที่สามารถติดต่อได้ในกรณีฉุกเฉิน เป็นต้น และข้อมูลที่จัดเก็บในขณะหรือหลังจากตกลงว่าจ้างเป็นลูกจ้างแล้ว
เช่น สูติบัตรของบุตรทะเบียนสมรส ผลการตรวจสุขภาพ ทะเบียนรถ หมายเลขหนังสือเดินทาง (Passport) เป็นต้น รายละเอียดข้อมูลที่มีการจัดเก็บและ
ใช้ให้เป็นไปตามที่ระบุในทะเบียนข้อมูลส่วนบุคคล
กรณีบริษัทได้รับสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนหรือเอกสารอื่นใดของพนักงาน เพื่อวัตถุประสงค์ในการพิสูจน์ตัวตนในการก่อนิติสัมพันธ์ทาง
กฎหมาย และ/หรือการทำธุรกรรมใดๆ กับบริษัท ข้อมูลที่ได้รับอาจจะมีข้อมูลศาสนาหรือข้อมูลที่มีความอ่อนไหว บริษัทไม่มีนโยบายจัดเก็บจากพนักงาน
ยกเว้นกรณีที่บริษัทได้รับความยินยอมจากพนักงาน ทั้งนี้ บริษัทจะกำหนดวิธีการจัดการตามแนวทางปฏิบัติและเป็นไปตามที่กฎหมายอนุญาต
บริษัทอาจได้รับข้อมูลบุคคลที่สามที่มีความเกี่ยวข้องกับพนักงาน โดยพนักงานเป็นผู้ให้ข้อมูลกับบริษัท เช่น คู่สมรส บุตร บิดา มารดา สมาชิก
ในครอบครัว บุคคลติดต่อกรณีฉุกเฉิน บุคคลอ้างอิงหรืออดีตนายจ้าง ซึ่งบริษัทใช้ข้อมูลเพื่อจัดการสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ให้กับพนักงาน ติดต่อ
ในกรณีฉุกเฉินหรือเพื่ออ้างอิงข้อมูลอันเป็นประโยชน์กับพนักงาน โปรดแจ้งประกาศความเป็นส่วนตัวฉบับนี้แก่บุคคลที่สามดังกล่าว และขอความยินยอม
จากบุคคลดังกล่าวหากจำเป็น เว้นแต่มีข้อยกเว้นตามกฎหมายที่บริษัทไม่ต้องขอความยินยอม
บริษัทจะไม่เก็บรวบรวมข้อมูลของผู้เยาว์ คนไร้ความสามารถ และคนเสมือนไร้ความสามารถ หากไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้อำนาจปกครอง
ผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์ แล้วแต่กรณี หรือหากไม่ได้อาศัยฐานทางกฎหมายอื่นใด ทั้งนี้ หากบริษัททราบว่าบริษัทได้เก็บรวบรวมข้อมูลจากบุคคลเหล่านี้
โดยมิได้รับความยินยอมหรือโดยไม่ได้อาศัยฐานทางกฎหมายอื่นใด บริษัทจะดำเนินการลบหรือทำลายข้อมูลดังกล่าวทันที
4. วัตถุประสงค์การจัดเก็บและใช้ข้อมูล
การจัดเก็บและใช้ข้อมูลของพนักงาน บริษัทมีวัตถุประสงค์เพื่อการประมวลผล การบริหารจัดการ และการดำเนินการในด้านต่างๆ ทั้งที่มีอยู่ใน
ปัจจุบันหรือในอนาคต ดังต่อไปนี้
-
- การบริหารทรัพยากรบุคคล อาทิ การสรรหาและคัดเลือกบุคลากร การทำสัญญาจ้างงาน การฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากร การบริหารงานทั่วไป
การจ่ายค่าจ้างค่าตอบแทน การจัดสวัสดิการและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ การแรงงานสัมพันธ์ การจัดซื้อจัดจ้าง การศึกษาวิเคราะห์และจัดสรร
กำลังคน การวิเคราะห์หรือปรับปรุงฐานข้อมูล - การรักษาความปลอดภัยและป้องกันอาชญากรรม
- การตรวจสอบและดำเนินการเกี่ยวกับข้อร้องเรียน การทุจริต คดี ข้อพิพาท หรือการฝ่าฝืนกฎระเบียบต่างๆ
- การมอบอำนาจ การจัดทำหนังสือรับรอง การจัดทำเอกสารเผยแพร่แก่สาธารณะ การจัดทำรายงานข้อมูลให้หน่วยงานราชการ/หน่วยงานกำกับดูแล
- การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ความรับผิดชอบต่อสังคม
- การผลิตสินค้าและการให้บริการ
- การโฆษณาประชาสัมพันธ์และการจำหน่ายสินค้า
- การรักษาและส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีทางธุรกิจ
- การปฏิบัติตามมาตรฐานต่างๆ รวมถึงข้อกำหนด/ข้อเรียกร้องของลูกค้า ผู้ถือหุ้น นักลงทุน
- การบรรเทาปัญหาหรือผลกระทบทางธุรกิจ-เศรษฐกิจ
- การป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของบุคคล
- การปฏิบัติตามสัญญาซึ่งเจ้าของข้อมูลเป็นคู่สัญญา หรือการดำเนินการตามคำขอของเจ้าของข้อมูลก่อนเข้าทำสัญญานั้น
- การใช้สิทธิตามกฎหมาย การใช้สิทธิทางศาล สิทธิเรียกร้อง ฟ้องร้อง ต่อสู้คดี
- การอื่นใดอันจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัทหรือบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นที่ไม่ใช่บริษัท
- การปฏิบัติตามกฎหมาย ประกาศ ระเบียบ คำสั่ง คำร้องขอ มาตรการ หรือการให้ความร่วมมือแก่เจ้าหน้าที่ หน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ
หรือตัวแทนของเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานดังกล่าว
- การบริหารทรัพยากรบุคคล อาทิ การสรรหาและคัดเลือกบุคลากร การทำสัญญาจ้างงาน การฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากร การบริหารงานทั่วไป
5. ฐานทางกฎหมายในการประมวลผลข้อมูล
บริษัทดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลของพนักงาน ภายใต้ฐานกฎหมาย ดังต่อไปนี้
-
- ความจำเป็นในการป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกายหรือสุขภาพของพนักงานหรือบุคคลอื่น
- ความจำเป็นเพื่อการปฏิบัติตามสัญญาซึ่งพนักงานเป็นคู่สัญญาหรือเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอของพนักงานก่อนเข้าทำสัญญานั้น
- ความจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัทหรือบุคคลอื่น โดยประโยชน์ดังกล่าวมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าสิทธิขั้นพื้นฐานในข้อมูล
ของพนักงาน - ความจำเป็นในการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การควบคุมดูแลเกี่ยวกับความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมในสถานที่ทำงาน และทรัพย์สินของบริษัท
- ความจำเป็นเพื่อปฎิบัติหน้าที่อันเป็นประโยชน์สาธารณะ
- ฐานความยินยอม สำหรับกรณีที่ไม่สามารถใช้ฐานกฎหมายอื่นใดได้
6. ระยะเวลาการเก็บรักษาข้อมูล
บริษัทจะไม่เก็บข้อมูลเกินกว่าระยะเวลาที่บริษัทเห็นว่าจำเป็นตามวัตถุประสงค์ดังที่กล่าวมาข้างต้น ยกเว้นกรณีที่กฎหมายกำหนดให้เก็บข้อมูล
ดังกล่าวในระยะเวลาที่นานกว่านั้น หรือการเก็บไว้เพื่อวัตถุประสงค์ตามที่กฎหมายกำหนด เช่น การประเมินความสามารถในการทำงานของลูกจ้าง
การวินิจฉัยโรคทางการแพทย์ การสาธารณสุข การก่อตั้งสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย การปฏิบัติตามกฎหมาย การใช้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย หรือ
การยกขึ้นต่อสู้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย เป็นต้น
บริษัทจะจัดให้มีระบบการตรวจสอบเพื่อดำเนินการลบหรือทำลายข้อมูลที่พ้นกำหนดระยะเวลาการเก็บรักษา หรือที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินความจำเป็น
ตามวัตถุประสงค์ข้างต้น
7. การเปิดเผยข้อมูล
ข้อมูลจะถูกเก็บรักษาไว้เป็นความลับตามที่กฎหมายกำหนด และตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ข้างต้น ทั้งนี้ บริษัทจะเปิดเผยข้อมูลให้แก่บุคคล
ดังต่อไปนี้
-
- ลูกจ้าง ตัวแทนของบริษัท ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่หรือจำเป็นต้องทราบหรือใช้ข้อมูลดังกล่าว
- บริษัทในเครือกิจการหรือเครือธุรกิจเดียวกัน พันธมิตรทางธุรกิจ คู่สัญญาทางธุรกิจ ผู้ถือหุ้น นักลงทุน
- ผู้ส่งมอบ ผู้รับเหมาช่วง ลูกค้า ผู้ให้บริการ ผู้ให้คำปรึกษา
- หน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่ภาครัฐ รัฐวิสหกิจ องค์กรสาธารณะ สมาคม ชมรม
- บุคคลอื่นใดที่จำเป็นเพื่อให้บริษัทสามารถดำเนินธุรกิจหรือให้บริการแก่พนักงาน หรือเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์การจัดเก็บและใช้ข้อมูลดังที่กล่าว
มาข้างต้น
8. สิทธิของเจ้าของข้อมูล
พนักงานซึ่งเป็นเจ้าของข้อมูล มีสิทธิดังต่อไปนี้
-
- ขอเข้าถึงและขอรับสำเนาข้อมูลที่เกี่ยวกับตน ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของบริษัท หรือขอให้เปิดเผยถึงการได้มาซึ่งข้อมูลดังกล่าวที่ตนไม่ได้ให้
ความยินยอม - ขอให้บริษัทดำเนินการให้ข้อมูลนั้นถูกต้องเป็นปัจจุบัน สมบูรณ์ และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด หากบริษัทไม่ดำเนินการตามที่พนักงานร้องขอ
บริษัทจะบันทึกคำร้องขอของพนักงานพร้อมด้วยเหตุผลเอาไว้ - ขอรับข้อมูลที่เกี่ยวกับตนจากบริษัทได้ ในกรณีที่บริษัทได้ทำให้ข้อมูลนั้นอยู่ในรูปแบบที่สามารถอ่านหรือใช้งานโดยทั่วไปได้ด้วยเครื่องมือหรือ
อุปกรณ์ที่ทำงานได้โดยอัตโนมัติ และสามารถใช้หรือเปิดเผยข้อมูลได้ด้วยวิธีการอัตโนมัติ - คัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวกับตน ที่กฎหมายอนุญาตให้เก็บได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล เมื่อใดก็ได้
- ขอให้บริษัทลบหรือทำลาย หรือทำให้ข้อมูลของพนักงานเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวพนักงานได้ ในกรณีตามที่กฎหมายกำหนด
- ขอให้บริษัทระงับการใช้ข้อมูลได้ ในกรณีตามที่กฎหมายกำหนด
- ถอนความยินยอมเสียเมื่อใดก็ได้ อย่างไรก็ตาม พนักงานไม่อาจเพิกถอนความยินยอมได้ ถ้ามีข้อจำกัดสิทธิในการเพิกถอนโดยกฎหมายหรือสัญญา
ที่ให้ประโยชน์แก่พนักงาน - ร้องเรียนในกรณีที่บริษัทหรือผู้ประมวลผลข้อมูล รวมทั้งลูกจ้างหรือผู้รับจ้างของบริษัทหรือผู้ประมวลผลข้อมูล ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือประกาศที่ออกตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล - สิทธิอื่นๆ ตามที่กฎหมายกำหนด
- ขอเข้าถึงและขอรับสำเนาข้อมูลที่เกี่ยวกับตน ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของบริษัท หรือขอให้เปิดเผยถึงการได้มาซึ่งข้อมูลดังกล่าวที่ตนไม่ได้ให้
พนักงานสามารถใช้สิทธิดังกล่าวได้ โดยยื่นคำร้องเป็นลายลักษณ์อักษรต่อบริษัทหรือเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ตามแบบฟอร์มและ
ช่องทางที่บริษัทกำหนด โดยบริษัทจะพิจารณาและแจ้งผลการพิจารณาคำร้องดังกล่าว ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้อง ทั้งนี้บริษัทหรือเจ้าหน้าที่
คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล อาจปฏิเสธคำร้องดังกล่าวได้ในกรณีที่มีกฎหมายกำหนดไว้
9. หน้าที่ของเจ้าของข้อมูล
พนักงานมีหน้าที่ให้ข้อมูลที่ถูกต้องแท้จริง ครบถ้วน และภายในระยะเวลาที่กำหนด เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ดังที่กล่าวมาข้างต้น
กฎหมายสัญญา หรือเพื่อการเข้าทำสัญญา ทั้งนี้ การให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแท้จริง ไม่ครบถ้วน หรือล่าช้ากว่าระยะเวลาที่กำหนด อาจส่งผลกระทบต่อ
ประโยชน์ที่พนักงานพึงมีสิทธิได้รับตามวัตถุประสงค์ กฎหมาย หรือสัญญาดังกล่าว
10. มาตรการด้านความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล
บริษัทให้ความสำคัญด้านความปลอดภัยของข้อมูลของพนักงาน เพื่อให้พนักงานมั่นใจว่าบุคลากรของบริษัทและบุคคลภายนอกที่ดำเนินการในนาม
ของบริษัทได้ปฏิบัติตามมาตรฐานด้านการคุ้มครองข้อมูลที่เหมาะสม ซึ่งรวมถึงหน้าที่ในการป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล
บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลของพนักงานไว้เป็นอย่างดีตามมาตรการเชิงเทคนิค (Technical Measure) และมาตรการเชิงบริหารจัดการ
(OrganizationalMeasure) เพื่อรักษาความปลอดภัยในการประมวลผลข้อมูลที่เหมาะสม และเพื่อป้องกันการละเมิดข้อมูล โดยบริษัทได้กำหนดนโยบาย
ระเบียบและหลักเกณฑ์ในการคุ้มครองข้อมูล รวมถึงมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้รับข้อมูลไปจากบริษัทเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลนอก
วัตถุประสงค์หรือโดยไม่มีอำนาจหรือโดยมิชอบ ทั้งนี้บริษัทได้มีการปรับปรุงนโยบายระเบียบและหลักเกณฑ์ดังกล่าวเป็นระยะตามความจำเป็นและเหมาะสม
นอกจากนี้ผู้บริหาร พนักงาน ผู้รับจ้าง ตัวแทนที่ปรึกษา และผู้รับข้อมูลจากบริษัทมีหน้าที่ต้องรักษาความลับของข้อมูลตามมาตรการรักษาความลับที่
บริษัทกำหนด รวมถึงข้อตกลงในการประมวลผลข้อมูล
บริษัทดำเนินการทบทวนและปรับปรุงขั้นตอนและมาตรการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลของบริษัทให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ เพื่อให้ได้ระดับความ
ปลอดภัยของข้อมูลที่เหมาะสมกับความเสี่ยง และให้การรักษาความลับของข้อมูล ความสมบูรณ์ ความถูกต้อง และความพร้อมใช้งานในการประมวลผล
ข้อมูลเป็นไปอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีมาตรการในการป้องกันการสูญหาย การเก็บรวบรวม การเข้าถึง การใช้ การดัดแปลง การแก้ไข การลบ การทำลาย
หรือการเปิดเผยข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต
11. การแก้ไขเพิ่มเติมคำประกาศเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว
บริษัทอาจแก้ไขเพิ่มเติมคำประกาศเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวฉบับนี้เป็นครั้งคราว เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เกี่ยวกับการ
ประมวลผลข้อมูลของพนักงาน และเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
โดยบริษัทจะแจ้งให้พนักงานทราบถึงการแก้ไขเพิ่มเติมที่สำคัญผ่านช่องทางที่เหมาะสม
12. ช่องทางการติดต่อ
ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล (Data Controller)
บริษัท เอ็นเอ็มบี-มินีแบ ไทย จำกัด และบริษัทมินีแบ เอวิเอชั่น จำกัด
เลขที่ 1 หมู่ที่ 7 ต.เชียงรากน้อย อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา 13180
โทรศัพท์ 035-361439 ต่อ 1789 โทรสาร 035-361477
อีเมล์ MinebeaMitsumiCare@minebea.co.th
คำประกาศเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวฉบับนี้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 เป็นต้นไป
คำประกาศเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว (Privacy Notice)
สำหรับผู้สมัครงาน
1. วัตถุประสงค์
คำประกาศเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวฉบับนี้ จัดทำขึ้นเพื่อชี้แจงรายละเอียดและวิธีการจัดการและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครงาน
ที่บริษัทเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผย เพื่อให้ข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง
2. นิยามศัพท์
“ผู้สมัครงาน” หมายถึง ผู้สมัครงานเพื่อเป็นลูกจ้างของบริษัท ไม่ว่าการสมัครงานนั้นจะเป็นการสมัครกับบริษัทโดยตรง หรือเป็นการสมัครผ่าน
ผู้ให้บริการจัดหางานก็ตาม และหมายความรวมถึงผู้ที่กำลังหางานด้วย
“บริษัท” หมายถึง บริษัท เอ็นเอ็มบี-มินีแบ ไทย จำกัด หรือ บริษัทมินีแบ เอวิเอชั่น จำกัด แล้วแต่กรณี
“ข้อมูล” หมายถึง ข้อมูลส่วนบุคคล ตามที่กำหนดไว้ในมาตรฐานการบริหารจัดการและคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กลุ่มบริษัทมินีแบมิตซูมิ
(ประเทศไทย)
“ประมวลผล” หมายถึง กระบวนการดำเนินการใดๆ หรือชุดของการดำเนินการที่กระทำกับข้อมูล จะโดยวิธีการแบบอัตโนมัติหรือไม่ก็ตาม เช่น
การเก็บรวบรวม การบันทึก การจัดการอย่างเป็นระบบ การจัดโครงสร้าง การประยุกต์ การแก้ไข การกู้คืน การให้คำปรึกษา การใช้ การเปิดเผยด้วย
การส่ง การเปิดเผยด้วยการเผยแพร่หรือเข้าถึงได้โดยวิธีอื่นใด การรวมข้อมูล การจำกัด การลบหรือทำลาย เป็นต้น
ทั้งนี้ คำหรือข้อความใดที่มิได้กำหนดนิยามไว้เป็นการเฉพาะในคำประกาศเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวฉบับนี้ ให้มีความหมายตามที่กำหนดไว้ใน
มาตรฐานการบริหารจัดการและคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กลุ่มบริษัทมินีแบมิตซูมิ (ประเทศไทย) หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
3. ข้อมูลที่จัดเก็บและใช้
บริษัทมีการจัดเก็บและใช้ข้อมูลของผู้สมัครงาน ได้แก่ ข้อมูลเกี่ยวกับการพิจารณาว่าจ้างเป็นลูกจ้างของบริษัท เช่น ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่
วันเดือนปีเกิด อายุ เพศ รูปถ่าย หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน หมายเลขโทรศัพท์ อีเมล์ ข้อมูลทางการศึกษา ชื่อ-นามสกุล/ที่อยู่/เบอร์โทรศัพท์
ของผู้ที่สามารถติดต่อได้ในกรณีฉุกเฉิน เป็นต้น รายละเอียดข้อมูลที่มีการจัดเก็บและการใช้ให้เป็นไปตามที่ระบุในทะเบียนข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัท
กรณีบริษัทได้รับสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนหรือเอกสารอื่นใดของผู้สมัครงาน เพื่อวัตถุประสงค์ในการพิสูจน์ตัวตนในการก่อนิติสัมพันธ์ทาง
กฎหมายและ/หรือการทำธุรกรรมใดๆ กับบริษัท ข้อมูลที่ได้รับอาจจะมีข้อมูลศาสนาหรือข้อมูลที่มีความอ่อนไหว บริษัทไม่มีนโยบายจัดเก็บจากผู้สมัครงาน
ยกเว้นกรณีที่บริษัทได้รับความยินยอมจากผู้สมัครงาน ทั้งนี้ บริษัทจะกำหนดวิธีการจัดการตามแนวทางปฏิบัติและเป็นไปตามที่กฎหมายอนุญาต
บริษัทอาจได้รับข้อมูลบุคคลที่สามที่มีความเกี่ยวข้องกับผู้สมัครงาน โดยผู้สมัครงานเป็นผู้ให้ข้อมูลกับบริษัท เช่น คู่สมรส บุตร บิดา มารดา
สมาชิกในครอบครัว บุคคลติดต่อกรณีฉุกเฉิน บุคคลอ้างอิงหรืออดีตนายจ้าง ซึ่งบริษัทใช้ข้อมูลเพื่อจัดการสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ให้กับผู้สมัครงาน
ติดต่อในกรณีฉุกเฉิน หรือเพื่ออ้างอิงข้อมูลอันเป็นประโยชน์กับผู้สมัครงาน โปรดแจ้งประกาศความเป็นส่วนตัวฉบับนี้แก่บุคคลที่สามดังกล่าว และขอ
ความยินยอมจากบุคคลดังกล่าวหากจำเป็น เว้นแต่มีข้อยกเว้นตามกฎหมายที่บริษัทไม่ต้องขอความยินยอม
บริษัทจะไม่เก็บรวบรวมข้อมูลของผู้เยาว์ คนไร้ความสามารถ และคนเสมือนไร้ความสามารถ หากไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้อำนาจปกครอง
ผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์ แล้วแต่กรณี หรือหากไม่ได้อาศัยฐานทางกฎหมายอื่นใด ทั้งนี้หากบริษัททราบว่าบริษัทได้เก็บรวบรวมข้อมูลจากบุคคลเหล่านี้
โดยมิได้รับความยินยอมหรือโดยไม่ได้อาศัยฐานทางกฎหมายอื่นใด บริษัทจะดำเนินการลบหรือทำลายข้อมูลดังกล่าวทันที
4. วัตถุประสงค์การจัดเก็บและใช้ข้อมูล
การจัดเก็บและใช้ข้อมูลของผู้สมัครงาน บริษัทมีวัตถุประสงค์เพื่อการประมวลผล การบริหารจัดการ และการดำเนินการในด้านต่างๆทั้งที่มีอยู่ใน
ปัจจุบันหรือในอนาคต ดังต่อไปนี้
-
- การพิจารณาว่าจ้างเป็นลูกจ้างของบริษัท
- การดำเนินการต่างๆ กรณีตกลงว่าจ้างเป็นลูกจ้าง ซึ่งได้แก่
- การบริหารทรัพยากรบุคคล อาทิ การสรรหาและคัดเลือกบุคลากร การทำสัญญาจ้างงาน การฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากร การบริหารงาน
ทั่วไป การจ่ายค่าจ้างค่าตอบแทน การจัดสวัสดิการและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ การแรงงานสัมพันธ์ การจัดซื้อจัดจ้าง การศึกษา
วิเคราะห์และจัดสรรกำลังคน การวิเคราะห์หรือปรับปรุงฐานข้อมูล - การรักษาความปลอดภัยและป้องกันอาชญากรรม
- การตรวจสอบและดำเนินการเกี่ยวกับข้อร้องเรียน การทุจริต คดี ข้อพิพาท หรือการฝ่าฝืนกฎระเบียบต่างๆ
- การมอบอำนาจ การจัดทำหนังสือรับรอง การจัดทำเอกสารเผยแพร่แก่สาธารณะ การจัดทำรายงานข้อมูลให้หน่วยงานราชการ/หน่วยงาน
กำกับดูแล - การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ความรับผิดชอบต่อสังคม
- การผลิตสินค้าและการให้บริการ
- การโฆษณาประชาสัมพันธ์และการจำหน่ายสินค้า
- การรักษาและส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีทางธุรกิจ
- การปฏิบัติตามมาตรฐานต่างๆ รวมถึงข้อกำหนด/ข้อเรียกร้องของลูกค้า ผู้ถือหุ้น นักลงทุน
- การบรรเทาปัญหาหรือผลกระทบทางธุรกิจ-เศรษฐกิจ
- การป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของบุคคล
- การปฏิบัติตามสัญญาซึ่งเจ้าของข้อมูลเป็นคู่สัญญา หรือการดำเนินการตามคำขอของเจ้าของข้อมูลก่อนเข้าทำสัญญานั้น
- การใช้สิทธิตามกฎหมาย การใช้สิทธิทางศาล สิทธิเรียกร้อง ฟ้องร้อง ต่อสู้คดี
- การอื่นใดอันจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัทหรือบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นที่ไม่ใช่บริษัท
- การปฏิบัติตามกฎหมาย ประกาศ ระเบียบ คำสั่ง คำร้องขอ มาตรการ หรือการให้ความร่วมมือแก่เจ้าหน้าที่ หน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ
หรือตัวแทนของเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานดังกล่าว
5. ฐานทางกฎหมายในการประมวลผลข้อมูล
บริษัทดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลของผู้สมัครงาน ภายใต้ฐานกฎหมาย ดังต่อไปนี้
-
- ความจำเป็นในการป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกายหรือสุขภาพของผู้สมัครงานหรือบุคคลอื่น
- ความจำเป็นเพื่อการปฏิบัติตามสัญญาซึ่งผู้สมัครงานเป็นคู่สัญญาหรือเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอของผู้สมัครงานก่อนเข้าทำสัญญานั้น
- ความจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัทหรือบุคคลอื่น โดยประโยชน์ดังกล่าวมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าสิทธิขั้นพื้นฐาน
ในข้อมูลของผู้สมัครงาน - ความจำเป็นในการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การควบคุมดูแลเกี่ยวกับความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมในสถานที่ทำงาน และทรัพย์สิน
ของบริษัท - ความจำเป็นเพื่อปฎิบัติหน้าที่อันเป็นประโยชน์สาธารณะ
- ฐานความยินยอม สำหรับกรณีที่ไม่สามารถใช้ฐานกฎหมายอื่นใดได้
6. ระยะเวลาการเก็บรักษาข้อมูล
บริษัทจะไม่เก็บข้อมูลเกินกว่าระยะเวลาที่บริษัทเห็นว่าจำเป็นตามวัตถุประสงค์ดังที่กล่าวมาข้างต้น ยกเว้นกรณีที่กฎหมายกำหนดให้เก็บข้อมูล
ดังกล่าวในระยะเวลาที่นานกว่านั้น หรือการเก็บไว้เพื่อวัตถุประสงค์ตามที่กฎหมายกำหนด เช่น การประเมินความสามารถในการทำงานของลูกจ้าง
การวินิจฉัยโรคทางการแพทย์ การสาธารณสุข การก่อตั้งสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย การปฏิบัติตามกฎหมาย การใช้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมายหรือ
การยกขึ้นต่อสู้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย เป็นต้น
บริษัทจะจัดให้มีระบบการตรวจสอบเพื่อดำเนินการลบหรือทำลายข้อมูลที่พ้นกำหนดระยะเวลาการเก็บรักษา หรือที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินความ
จำเป็นตามวัตถุประสงค์ข้างต้น
7. การเปิดเผยข้อมูล
ข้อมูลจะถูกเก็บรักษาไว้เป็นความลับตามที่กฎหมายกำหนด และตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ข้างต้น ทั้งนี้ บริษัทจะเปิดเผยข้อมูลให้แก่
บุคคลดังต่อไปนี้
-
- ลูกจ้าง ตัวแทนของบริษัท ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่หรือจำเป็นต้องทราบหรือใช้ข้อมูลดังกล่าว
- บริษัทในเครือกิจการหรือเครือธุรกิจเดียวกัน พันธมิตรทางธุรกิจ คู่สัญญาทางธุรกิจ ผู้ถือหุ้น นักลงทุน
- ผู้ส่งมอบ ผู้รับเหมาช่วง ลูกค้า ผู้ให้บริการ ผู้ให้คำปรึกษา
- หน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่ภาครัฐ รัฐวิสหกิจ องค์กรสาธารณะ สมาคม ชมรม
- บุคคลอื่นใดที่จำเป็นเพื่อให้บริษัทสามารถดำเนินธุรกิจหรือให้บริการแก่ผู้สมัครงาน หรือเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์การจัดเก็บและใช้ข้อมูล
ดังที่กล่าวมาข้างต้น
8. สิทธิของเจ้าของข้อมูล
ผู้สมัครงานซึ่งเป็นเจ้าของข้อมูล มีสิทธิดังต่อไปนี้
-
- ขอเข้าถึงและขอรับสำเนาข้อมูลที่เกี่ยวกับตน ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของบริษัท หรือขอให้เปิดเผยถึงการได้มาซึ่งข้อมูลดังกล่าวที่ตน
ไม่ได้ให้ความยินยอม - ขอให้บริษัทดำเนินการให้ข้อมูลนั้นถูกต้องเป็นปัจจุบัน สมบูรณ์ และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด หากบริษัทไม่ดำเนินการตามที่ผู้สมัครงาน
ร้องขอ บริษัทจะบันทึกคำร้องขอของผู้สมัครงานพร้อมด้วยเหตุผลเอาไว้ - ขอรับข้อมูลที่เกี่ยวกับตนจากบริษัทได้ ในกรณีที่บริษัทได้ทำให้ข้อมูลนั้นอยู่ในรูปแบบที่สามารถอ่านหรือใช้งานโดยทั่วไปได้ด้วยเครื่องมือ
หรืออุปกรณ์ที่ทำงานได้โดยอัตโนมัติ และสามารถใช้หรือเปิดเผยข้อมูลได้ด้วยวิธีการอัตโนมัติ - คัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวกับตน ที่กฎหมายอนุญาตให้เก็บได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล
เมื่อใดก็ได้ - ขอให้บริษัทลบหรือทำลาย หรือทำให้ข้อมูลของผู้สมัครงานเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวผู้สมัครงานได้ ในกรณีตามที่กฎหมายกำหนด
- ขอให้บริษัทระงับการใช้ข้อมูลได้ ในกรณีตามที่กฎหมายกำหนด
- ถอนความยินยอมเสียเมื่อใดก็ได้ อย่างไรก็ตาม ผู้สมัครงานไม่อาจเพิกถอนความยินยอมได้ ถ้ามีข้อจำกัดสิทธิในการเพิกถอนโดยกฎหมาย
หรือสัญญาที่ให้ประโยชน์แก่ผู้สมัครงาน - ร้องเรียนในกรณีที่บริษัทหรือผู้ประมวลผลข้อมูล รวมทั้งลูกจ้างหรือผู้รับจ้างของบริษัทหรือผู้ประมวลผลข้อมูล ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม
กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือประกาศที่ออกตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล - สิทธิอื่นๆ ตามที่กฎหมายกำหนด
- ขอเข้าถึงและขอรับสำเนาข้อมูลที่เกี่ยวกับตน ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของบริษัท หรือขอให้เปิดเผยถึงการได้มาซึ่งข้อมูลดังกล่าวที่ตน
ผู้สมัครงานสามารถใช้สิทธิดังกล่าวได้ โดยยื่นคำร้องเป็นลายลักษณ์อักษรต่อบริษัทหรือเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ตามแบบฟอร์มและ
ช่องทางที่บริษัทกำหนด โดยบริษัทจะพิจารณาและแจ้งผลการพิจารณาคำร้องดังกล่าว ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้อง ทั้งนี้บริษัทหรือเจ้าหน้าที่
คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล อาจปฏิเสธคำร้องดังกล่าวได้ในกรณีที่มีกฎหมายกำหนดไว้
9. หน้าที่ของเจ้าของข้อมูล
ผู้สมัครงานมีหน้าที่ให้ข้อมูลที่ถูกต้องแท้จริง ครบถ้วน และภายในระยะเวลาที่กำหนด เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ดังที่กล่าวมา
ข้างต้น กฎหมาย สัญญา หรือเพื่อการเข้าทำสัญญา ทั้งนี้ การให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแท้จริง ไม่ครบถ้วน หรือล่าช้ากว่าระยะเวลาที่กำหนด อาจส่งผลกระทบ
ต่อประโยชน์ที่ผู้สมัครงานพึงมีสิทธิได้รับตามวัตถุประสงค์ กฎหมาย หรือสัญญาดังกล่าว
10. มาตรการด้านความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล
บริษัทให้ความสำคัญด้านความปลอดภัยของข้อมูลของผู้สมัครงาน เพื่อให้ผู้สมัครงานมั่นใจว่า บุคลากรของบริษัทและบุคคลภายนอกที่ดำเนินการ
ในนามของบริษัทได้ปฏิบัติตามมาตรฐานด้านการคุ้มครองข้อมูลที่เหมาะสม ซึ่งรวมถึงหน้าที่ในการป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล
บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลของผู้สมัครงานไว้เป็นอย่างดีตามมาตรการเชิงเทคนิค (Technical Measure) และมาตรการเชิงบริหารจัดการ
(Organizational Measure) เพื่อรักษาความปลอดภัยในการประมวลผลข้อมูลที่เหมาะสม และเพื่อป้องกันการละเมิดข้อมูล โดยบริษัทได้กำหนด
นโยบาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ในการคุ้มครองข้อมูล รวมถึงมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้รับข้อมูลไปจากบริษัทเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลนอก
วัตถุประสงค์หรือโดยไม่มีอำนาจหรือโดยมิชอบ ทั้งนี้บริษัทได้มีการปรับปรุงนโยบายระเบียบและหลักเกณฑ์ดังกล่าวเป็นระยะตามความจำเป็นและเหมาะสม
นอกจากนี้ ผู้บริหาร พนักงาน ผู้รับจ้าง ตัวแทน ที่ปรึกษา และผู้รับข้อมูลจากบริษัทมีหน้าที่ต้องรักษาความลับของข้อมูลตามมาตรการรักษาความลับที่
บริษัทกำหนดรวมถึงข้อตกลงในการประมวลผลข้อมูล
บริษัทดำเนินการทบทวนและปรับปรุงขั้นตอนและมาตรการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลของบริษัทให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ เพื่อให้ได้ระดับความ
ปลอดภัยของข้อมูลที่เหมาะสมกับความเสี่ยง และให้การรักษาความลับของข้อมูล ความสมบูรณ์ ความถูกต้อง และความพร้อมใช้งานในการประมวลผล
ข้อมูลเป็นไปอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีมาตรการในการป้องกันการสูญหาย การเก็บรวบรวม การเข้าถึง การใช้ การดัดแปลง การแก้ไข การลบ การทำลาย
หรือการเปิดเผยข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต
11. การแก้ไขเพิ่มเติมคำประกาศเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว
บริษัทอาจแก้ไขเพิ่มเติมคำประกาศเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวฉบับนี้เป็นครั้งคราว เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เกี่ยวกับการประมวล
ผลข้อมูลของผู้สมัครงาน และเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง โดย
บริษัทจะแจ้งให้ผู้สมัครงานทราบถึงการแก้ไขเพิ่มเติมที่สำคัญผ่านช่องทางที่เหมาะสม
12. ช่องทางการติดต่อ
ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล (Data Controller)
บริษัท เอ็นเอ็มบี-มินีแบ ไทย จำกัด และบริษัทมินิแบ เอวิเอชั่น จำกัด
เลขที่ 1 หมู่ที่ 7 ต.เชียงรากน้อย อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา 13180
โทรศัพท์ 035-361439 ต่อ 1789 โทรสาร 035-361477
อีเมล์ MinebeaMitsumiCare@minebea.co.th
คำประกาศเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวฉบับนี้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 เป็นต้นไป
คำประกาศเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว (Privacy Notice)
สำหรับผู้มาติดต่อ
1. วัตถุประสงค์
คำประกาศเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวฉบับนี้ จัดทำขึ้นเพื่อชี้แจงรายละเอียดและวิธีการจัดการและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของผู้มาติดต่อ
ที่บริษัทเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผย เพื่อให้ข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง
2. นิยามศัพท์
“ผู้มาติดต่อ” หมายถึง บุคคลภายนอก เช่น เวนเดอร์ ลูกค้า แขก เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานรัฐ วิทยากร ผู้มาเยี่ยมชมโรงงาน ผู้จำหน่ายสินค้าหรือ
ให้บริการ ฯลฯ ซึ่งมาติดต่อ ณ สถานที่ทำการของบริษัท หรือติดต่อกับบริษัทโดยวิธีอื่นใด เช่น ส่งอีเมล์ โทรศัพท์ ฯลฯ แต่ไม่รวมถึงผู้สมัครงานและ
ผู้มาติดต่อของบริษัท
“บริษัท” หมายถึง บริษัท เอ็นเอ็มบี-มินีแบ ไทย จำกัด หรือ บริษัทมินีแบ เอวิเอชั่น จำกัด แล้วแต่กรณี
“ข้อมูล” หมายถึง ข้อมูลส่วนบุคคล ตามที่กำหนดไว้ในมาตรฐานการบริหารจัดการและคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กลุ่มบริษัทมินีแบมิตซูมิ
(ประเทศไทย)
“ประมวลผล” หมายถึง กระบวนการดำเนินการใดๆ หรือชุดของการดำเนินการที่กระทำกับข้อมูล จะโดยวิธีการแบบอัตโนมัติหรือไม่ก็ตาม เช่น
การเก็บรวบรวม การบันทึก การจัดการอย่างเป็นระบบ การจัดโครงสร้าง การประยุกต์ การแก้ไข การกู้คืน การให้คำปรึกษา การใช้ การเปิดเผยด้วยการ
ส่งการเปิดเผยด้วยการเผยแพร่หรือเข้าถึงได้โดยวิธีอื่นใด การรวมข้อมูล การจำกัด การลบหรือทำลาย เป็นต้น
ทั้งนี้ คำหรือข้อความใดที่มิได้กำหนดนิยามไว้เป็นการเฉพาะในคำประกาศเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวฉบับนี้ ให้มีความหมายตามที่กำหนดไว้ใน
มาตรฐานการบริหารจัดการและคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กลุ่มบริษัทมินีแบมิตซูมิ (ประเทศไทย) หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
3. ข้อมูลที่จัดเก็บและใช้
บริษัทมีการจัดเก็บและใช้ข้อมูลของผู้มาติดต่อ เช่น ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน หมายเลขโทรศัพท์มือถือ เลขทะเบียนรถ
อีเมล์ (มีชื่อคนเป็นส่วนหนึ่งของอีเมล์) การเก็บภาพจากกล้องวงจรปิด (CCTV) เป็นต้นรายละเอียดข้อมูลที่มีการจัดเก็บและการใช้ ให้เป็นไปตามที่ระบุใน
ทะเบียนข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัท
กรณีบริษัทได้รับสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนหรือเอกสารอื่นใดของผู้มาติดต่อ เพื่อวัตถุประสงค์ในการพิสูจน์ตัวตนในการก่อนิติสัมพันธ์ทาง
กฎหมายและ/หรือการทำธุรกรรมใด ๆ กับบริษัท ข้อมูลที่ได้รับอาจจะมีข้อมูลศาสนาหรือข้อมูลที่มีความอ่อนไหว บริษัทไม่มีนโยบายจัดเก็บจากผู้มาติดต่อ
ยกเว้นกรณีที่บริษัทได้รับความยินยอมจากผู้มาติดต่อ ทั้งนี้ บริษัทจะกำหนดวิธีการจัดการตามแนวทางปฏิบัติและเป็นไปตามที่กฎหมายอนุญาต
บริษัทอาจได้รับข้อมูลบุคคลที่สามที่มีความเกี่ยวข้องกับผู้มาติดต่อ โดยผู้มาติดต่อเป็นผู้ให้ข้อมูลกับบริษัท เช่น คู่สมรส บุตร บิดา มารดา สมาชิกใน
ครอบครัว บุคคลติดต่อกรณีฉุกเฉิน บุคคลอ้างอิงหรืออดีตนายจ้าง ซึ่งบริษัทใช้ข้อมูลเพื่อจัดการสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ให้กับผู้มาติดต่อ ติดต่อใน
กรณีฉุกเฉิน หรือเพื่ออ้างอิงข้อมูลอันเป็นประโยชน์กับผู้มาติดต่อ โปรดแจ้งประกาศความเป็นส่วนตัวฉบับนี้แก่บุคคลที่สามดังกล่าว และขอความยินยอม
จากบุคคลดังกล่าวหากจำเป็น เว้นแต่มีข้อยกเว้นตามกฎหมายที่บริษัทไม่ต้องขอความยินยอม
บริษัทจะไม่เก็บรวบรวมข้อมูลของผู้เยาว์ คนไร้ความสามารถ และคนเสมือนไร้ความสามารถ หากไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้อำนาจปกครอง
ผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์ แล้วแต่กรณี หรือหากไม่ได้อาศัยฐานทางกฎหมายอื่นใด ทั้งนี้หากบริษัททราบว่าบริษัทได้เก็บรวบรวมข้อมูลจากบุคคลเหล่านี้ โดยมิ
ได้รับความยินยอมหรือโดยไม่ได้อาศัยฐานทางกฎหมายอื่นใด บริษัทจะดำเนินการลบหรือทำลายข้อมูลดังกล่าวทันที
4. วัตถุประสงค์การจัดเก็บและใช้ข้อมูล
การจัดเก็บและใช้ข้อมูลของผู้มาติดต่อ บริษัทมีวัตถุประสงค์เพื่อการประมวลผล การบริหารจัดการ และการดำเนินการในด้านต่างๆ ทั้งที่มีอยู่ใน
ปัจจุบันหรือในอนาคต ดังต่อไปนี้
-
-
- การรักษาความปลอดภัยและป้องกันอาชญากรรม
- การตรวจสอบและดำเนินการเกี่ยวกับข้อร้องเรียน การทุจริต คดี ข้อพิพาท หรือการฝ่าฝืนกฎระเบียบต่างๆ
- การมอบอำนาจ การจัดทำหนังสือรับรอง การจัดทำเอกสารเผยแพร่แก่สาธารณะ การจัดทำรายงานข้อมูลให้หน่วยงานราชการ/หน่วยงาน
กำกับดูแล - การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม อาชีวอนามัยและความปลอดภัย ความรับผิดชอบต่อสังคม
- การผลิตสินค้าและการให้บริการ
- การโฆษณาประชาสัมพันธ์และการจำหน่ายสินค้า
- การรักษาและส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีทางธุรกิจ
- การปฏิบัติตามมาตรฐานต่างๆ รวมถึงข้อกำหนด/ข้อเรียกร้องของลูกค้า ผู้ถือหุ้น นักลงทุน
- การบรรเทาปัญหาหรือผลกระทบทางธุรกิจ-เศรษฐกิจ
- การป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของบุคคล
- การปฏิบัติตามสัญญาซึ่งเจ้าของข้อมูลเป็นคู่สัญญา หรือการดำเนินการตามคำขอของเจ้าของข้อมูลก่อนเข้าทำสัญญานั้น
- การใช้สิทธิตามกฎหมาย การใช้สิทธิทางศาล สิทธิเรียกร้อง ฟ้องร้อง ต่อสู้คดี
- การอื่นใดอันจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัทหรือบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นที่ไม่ใช่บริษัท
- การปฏิบัติตามกฎหมาย ประกาศ ระเบียบ คำสั่ง คำร้องขอ มาตรการ หรือการให้ความร่วมมือแก่เจ้าหน้าที่ หน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ
หรือตัวแทนของเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานดังกล่าว
-
5. ฐานทางกฎหมายในการประมวลผลข้อมูล
บริษัทดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลของผู้มาติดต่อ ภายใต้ฐานกฎหมาย ดังต่อไปนี้
-
-
- ความจำเป็นในการป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกายหรือสุขภาพของผู้มาติดต่อหรือบุคคลอื่น
- ความจำเป็นเพื่อการปฏิบัติตามสัญญาซึ่งผู้มาติดต่อเป็นคู่สัญญาหรือเพื่อใช้ในการดำเนินการตามคำขอของ ผู้มาติดต่อก่อนเข้าทำ
สัญญานั้น - ความจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัทหรือบุคคลอื่น โดยประโยชน์ดังกล่าวมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าสิทธิขั้น
พื้นฐานในข้อมูลของผู้มาติดต่อ - ความจำเป็นในการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การควบคุมดูแลเกี่ยวกับความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมในสถานที่ทำงาน
และทรัพย์สินของบริษัท - ความจำเป็นเพื่อปฎิบัติหน้าที่อันเป็นประโยชน์สาธารณะ
- ฐานความยินยอม สำหรับกรณีที่ไม่สามารถใช้ฐานกฎหมายอื่นใดได้
-
6. ระยะเวลาการเก็บรักษาข้อมูล
บริษัทจะไม่เก็บข้อมูลเกินกว่าระยะเวลาที่บริษัทเห็นว่าจำเป็นตามวัตถุประสงค์ดังที่กล่าวมาข้างต้น ยกเว้นกรณีที่กฎหมายกำหนดให้เก็บข้อมูล
ดังกล่าวในระยะเวลาที่นานกว่านั้น หรือการเก็บไว้เพื่อวัตถุประสงค์ตามที่กฎหมายกำหนด เช่น การวินิจฉัยโรคทางการแพทย์ การสาธารณสุข การก่อตั้ง
สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย การปฏิบัติตามกฎหมาย การใช้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมายหรือการยกขึ้นต่อสู้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย เป็นต้น
บริษัทจะจัดให้มีระบบการตรวจสอบเพื่อดำเนินการลบหรือทำลายข้อมูลที่พ้นกำหนดระยะเวลาการเก็บรักษา หรือที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินความจำเป็น
ตามวัตถุประสงค์ข้างต้น
7. การเปิดเผยข้อมูล
ข้อมูลจะถูกเก็บรักษาไว้เป็นความลับตามที่กฎหมายกำหนด และตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ข้างต้น ทั้งนี้ บริษัทจะเปิดเผยข้อมูลให้แก่บุคคล
ดังต่อไปนี้
-
-
- ลูกจ้าง ตัวแทนของบริษัท ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่หรือจำเป็นต้องทราบหรือใช้ข้อมูลดังกล่าว
- บริษัทในเครือกิจการหรือเครือธุรกิจเดียวกัน พันธมิตรทางธุรกิจ คู่สัญญาทางธุรกิจ ผู้ถือหุ้น นักลงทุน
- ผู้ส่งมอบ ผู้รับเหมาช่วง ลูกค้า ผู้ให้บริการ ผู้ให้คำปรึกษา
- หน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่ภาครัฐ รัฐวิสหกิจ องค์กรสาธารณะ สมาคม ชมรม
- บุคคลอื่นใดที่จำเป็นเพื่อให้บริษัทสามารถดำเนินธุรกิจหรือให้บริการแก่ผู้มาติดต่อ หรือเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์การจัดเก็บและใช้ข้อมูล
ดังที่กล่าวมาข้างต้น
-
8. สิทธิของเจ้าของข้อมูล
ผู้มาติดต่อซึ่งเป็นเจ้าของข้อมูล มีสิทธิดังต่อไปนี้
-
-
- ขอเข้าถึงและขอรับสำเนาข้อมูลที่เกี่ยวกับตน ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของบริษัท หรือขอให้เปิดเผยถึงการได้มาซึ่งข้อมูลดังกล่าวที่ตนไม่ได้
ให้ความยินยอม - ขอให้บริษัทดำเนินการให้ข้อมูลนั้นถูกต้องเป็นปัจจุบัน สมบูรณ์ และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด หากบริษัทไม่ดำเนินการตามที่ผู้มาติดต่อ
ร้องขอ บริษัทจะบันทึกคำร้องขอของผู้มาติดต่อพร้อมด้วยเหตุผลเอาไว้ - ขอรับข้อมูลที่เกี่ยวกับตนจากบริษัทได้ ในกรณีที่บริษัทได้ทำให้ข้อมูลนั้นอยู่ในรูปแบบที่สามารถอ่านหรือใช้งานโดยทั่วไปได้ด้วยเครื่องมือหรือ
อุปกรณ์ที่ทำงานได้โดยอัตโนมัติ และสามารถใช้หรือเปิดเผยข้อมูลได้ด้วยวิธีการอัตโนมัติ - คัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวกับตน ที่กฎหมายอนุญาตให้เก็บได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล
เมื่อใดก็ได้ - ขอให้บริษัทลบหรือทำลาย หรือทำให้ข้อมูลของผู้มาติดต่อเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวผู้มาติดต่อได้ ในกรณีตามที่กฎหมายกำหนด
- ขอให้บริษัทระงับการใช้ข้อมูลได้ ในกรณีตามที่กฎหมายกำหนด
- ถอนความยินยอมเสียเมื่อใดก็ได้ อย่างไรก็ตาม ผู้มาติดต่อไม่อาจเพิกถอนความยินยอมได้ ถ้ามีข้อจำกัดสิทธิในการเพิกถอนโดยกฎหมาย
หรือสัญญาที่ให้ประโยชน์แก่ผู้มาติดต่อ - ร้องเรียนในกรณีที่บริษัทหรือผู้ประมวลผลข้อมูล รวมทั้งลูกจ้างหรือผู้รับจ้างของบริษัทหรือผู้ประมวลผลข้อมูล ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม
กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือประกาศที่ออกตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล - สิทธิอื่นๆ ตามที่กฎหมายกำหนด
- ขอเข้าถึงและขอรับสำเนาข้อมูลที่เกี่ยวกับตน ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของบริษัท หรือขอให้เปิดเผยถึงการได้มาซึ่งข้อมูลดังกล่าวที่ตนไม่ได้
-
ผู้มาติดต่อสามารถใช้สิทธิดังกล่าวได้ โดยยื่นคำร้องเป็นลายลักษณ์อักษรต่อบริษัทหรือเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ตามแบบฟอร์มและ
ช่องทางที่บริษัทกำหนด โดยบริษัทจะพิจารณาและแจ้งผลการพิจารณาคำร้องดังกล่าว ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้อง ทั้งนี้บริษัทหรือเจ้าหน้าที่
คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล อาจปฏิเสธคำร้องดังกล่าวได้ในกรณีที่มีกฎหมายกำหนดไว้
9. หน้าที่ของเจ้าของข้อมูล
ผู้มาติดต่อมีหน้าที่ให้ข้อมูลที่ถูกต้องแท้จริง ครบถ้วน และภายในระยะเวลาที่กำหนด เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ดังที่กล่าวมา
ข้างต้น กฎหมาย สัญญา หรือเพื่อการเข้าทำสัญญา ทั้งนี้ การให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแท้จริง ไม่ครบถ้วน หรือล่าช้ากว่าระยะเวลาที่กำหนด อาจส่งผลกระทบ
ต่อประโยชน์ที่ผู้มาติดต่อพึงมีสิทธิได้รับตามวัตถุประสงค์ กฎหมาย หรือสัญญาดังกล่าว
10. มาตรการด้านความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล
บริษัทให้ความสำคัญด้านความปลอดภัยของข้อมูลของผู้มาติดต่อ เพื่อให้ผู้มาติดต่อมั่นใจว่า บุคลากรของบริษัทและบุคคลภายนอกที่ดำเนินการ
ในนามของบริษัทได้ปฏิบัติตามมาตรฐานด้านการคุ้มครองข้อมูลที่เหมาะสม ซึ่งรวมถึงหน้าที่ในการป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล
บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลของผู้มาติดต่อไว้เป็นอย่างดีตามมาตรการเชิงเทคนิค (Technical Measure) และมาตรการเชิงบริหารจัดการ
(Organizational Measure) เพื่อรักษาความปลอดภัยในการประมวลผลข้อมูลที่เหมาะสม และเพื่อป้องกันการละเมิดข้อมูล โดยบริษัทได้กำหนด
นโยบาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ในการคุ้มครองข้อมูล รวมถึงมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้รับข้อมูลไปจากบริษัทเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลนอก
วัตถุประสงค์หรือโดยไม่มีอำนาจหรือโดยมิชอบ ทั้งนี้บริษัทได้มีการปรับปรุงนโยบายระเบียบและหลักเกณฑ์ดังกล่าวเป็นระยะตามความจำเป็นและเหมาะสม
นอกจากนี้ผู้บริหาร ผู้มาติดต่อ ผู้รับจ้าง ตัวแทน ที่ปรึกษา และผู้รับข้อมูลจากบริษัทมีหน้าที่ต้องรักษาความลับของข้อมูลตามมาตรการรักษาความลับที่
บริษัทกำหนด รวมถึงข้อตกลงในการประมวลผลข้อมูล
บริษัทดำเนินการทบทวนและปรับปรุงขั้นตอนและมาตรการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลของบริษัทให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ เพื่อให้ได้ระดับความ
ปลอดภัยของข้อมูลที่เหมาะสมกับความเสี่ยง และให้การรักษาความลับของข้อมูล ความสมบูรณ์ ความถูกต้อง และความพร้อมใช้งานในการประมวลผล
ข้อมูลเป็นไปอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีมาตรการในการป้องกันการสูญหาย การเก็บรวบรวม การเข้าถึง การใช้ การดัดแปลง การแก้ไข การลบ การทำลาย
หรือการเปิดเผยข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต
11. การแก้ไขเพิ่มเติมคำประกาศเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว
บริษัทอาจแก้ไขเพิ่มเติมคำประกาศเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวฉบับนี้เป็นครั้งคราว เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เกี่ยวกับการประมวล
ผลข้อมูลของผู้มาติดต่อ และเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง โดย
บริษัทจะแจ้งให้ผู้มาติดต่อทราบถึงการแก้ไขเพิ่มเติมที่สำคัญผ่านช่องทางที่เหมาะสม
12. ช่องทางการติดต่อ
ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล (Data Controller)
บริษัท เอ็นเอ็มบี-มินีแบ ไทย จำกัด และบริษัทมินิแบ เอวิเอชั่น จำกัด
เลขที่ 1 หมู่ที่ 7 ต.เชียงรากน้อย อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา 13180
โทรศัพท์ 035-361439 ต่อ 1789 โทรสาร 035-361477
อีเมล์ MinebeaMitsumiCare@minebea.co.th
คำประกาศเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวฉบับนี้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 เป็นต้นไป
คำประกาศเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว (Privacy Notice)
สำหรับการใช้กล้องวงจรปิด
1. วัตถุประสงค์
บริษัทได้ดำเนินการใช้กล้องวงจรปิดสำหรับการเฝ้าระวังสังเกตการณ์ในพื้นที่ภายในและรอบบริเวณอาคาร สถานที่ และสิ่งอำนวยความสะดวกของ
บริษัทหรือที่อยู่ในการดูแลรับผิดชอบของบริษัท (“พื้นที่”) บริษัททำการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าหน้าที่ ผู้ปฏิบัติงาน ลูกค้า ลูกจ้าง ผู้รับเหมา
ผู้มาติดต่อ หรือบุคคลใดๆ (“ท่าน”) ที่เข้ามายังพื้นที่ โดยผ่านการใช้งานอุปกรณ์กล้องวงจรปิดดังกล่าว คำประกาศความเป็นส่วนตัวฉบับนี้ ให้ข้อมูล
เกี่ยวกับการดำเนินการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล รวมทั้งสิทธิต่างๆ ของท่าน
2. นิยามศัพท์
“บริษัท” หมายถึง บริษัท เอ็นเอ็มบี-มินีแบ ไทย จำกัด หรือ บริษัทมินีแบ เอวิเอชั่น จำกัด แล้วแต่กรณี
“ข้อมูล” หมายถึง ข้อมูลส่วนบุคคล ตามที่กำหนดไว้ในมาตรฐานการบริหารจัดการและคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กลุ่มบริษัทมินีแบมิตซูมิ
(ประเทศไทย)
“ประมวลผล” หมายถึง กระบวนการดำเนินการใดๆ หรือชุดของการดำเนินการที่กระทำกับข้อมูล จะโดยวิธีการแบบอัตโนมัติหรือไม่ก็ตาม เช่น
การเก็บรวบรวม การบันทึก การจัดการอย่างเป็นระบบ การจัดโครงสร้าง การประยุกต์ การแก้ไข การกู้คืน การให้คำปรึกษา การใช้ การเปิดเผยด้วย
การส่ง การเปิดเผยด้วยการเผยแพร่หรือเข้าถึงได้โดยวิธีอื่นใด การรวมข้อมูล การจำกัด การลบหรือทำลาย เป็นต้น
“กล้องวงจรปิด” หมายถึง ระบบกล้องโทรทัศน์ที่ถ่ายภาพแบบเคลื่อนไหว แล้วส่งกลับมาที่เครื่องบันทึกภาพ เพื่อบันทึกภาพเป็นแบบภาพนิ่ง
และ/หรือภาพเคลื่อนไหว และให้หมายความรวมถึงการบันทึกภาพถ่าย ภาพเคลื่อนไหว หรือเสียง ด้วยอุปกรณ์ประเภทอื่นๆซึ่งมีลักษณะหรือวิธีการเหมือน
หรือคล้ายคลึงกับกล้องวงจรปิด เช่น กล้อง IP Camera (Internet Protocol Camera) เป็นต้น
ทั้งนี้ คำหรือข้อความใดที่มิได้กำหนดนิยามไว้เป็นการเฉพาะในคำประกาศเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวฉบับนี้ ให้มีความหมายตามที่กำหนดไว้ใน
มาตรฐานการบริหารจัดการและคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กลุ่มบริษัทมินีแบมิตซูมิ (ประเทศไทย) หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
3. ข้อมูลที่จัดเก็บและใช้
บริษัททำการติดตั้งกล้องวงจรปิดในตำแหน่งที่มองเห็นได้ โดยจัดให้มีป้ายเตือนว่ามีการติดตั้งหรือใช้งานกล้องวงจรปิด ณ ทางเข้า ทางออก พื้นที่
การทำงาน รวมถึงพื้นที่ที่บริษัทเห็นสมควรว่าเป็นจุดที่ต้องมีการเฝ้าระวังหรือมีความจำเป็น เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลของท่านเมื่อท่านเข้ามายังพื้นที่ ได้แก่
ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียง และ/หรือภาพทรัพย์สินของท่าน เช่น พาหนะ กระเป๋า หมวก เครื่องแต่งกาย เป็นต้น
ทั้งนี้ บริษัทจะไม่ทำการติดตั้งกล้องวงจรปิดในพื้นที่ที่อาจล่วงละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของท่านจนเกินสมควร เช่น ห้องพัก ห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ
เป็นต้น
4. วัตถุประสงค์การจัดเก็บและใช้ข้อมูล
การจัดเก็บและใช้ข้อมูลของท่าน บริษัทมีวัตถุประสงค์เพื่อการประมวลผล การบริหารจัดการ และการดำเนินการในด้านต่างๆ ทั้งที่มีอยู่ในปัจจุบัน
หรือในอนาคต ดังต่อไปนี้
-
-
- เพื่อการปกป้องสุขภาพและความปลอดภัยส่วนตัวของท่าน ซึ่งรวมไปถึงทรัพย์สินของท่าน เพื่อการปกป้องอาคาร สิ่งอำนวยความสะดวก
และทรัพย์สินของบริษัทจากความเสียหาย การขัดขวาง การทำลายซึ่งทรัพย์สินหรืออาชญากรรมอื่น - เพื่อสนับสนุนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อการยับยั้ง ป้องกัน สืบค้น และ ดำเนินคดีทางกฎหมาย
- เพื่อการให้ความช่วยเหลือในกระบวนการระงับข้อพิพาทซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างที่มีกระบวนการทางวินัยหรือกระบวนการร้องทุกข์
- เพื่อการให้ความช่วยเหลือในกระบวนการสอบสวน หรือ กระบวนการเกี่ยวกับการส่งเรื่องร้องเรียน
- เพื่อการให้ความช่วยเหลือในกระบวนการริเริ่มหรือป้องกันการฟ้องร้องทางแพ่ง ซึ่งรวมไปถึงแต่ไม่จำกัดเพียงการดำเนินการทางกฎหมาย
ที่เกี่ยวข้องกับการจ้างงาน - เพื่อการปรับปรุงและพัฒนากระบวนการทำงานหรือประสิทธิภาพการทำงาน
- เพื่อการปกป้องสุขภาพและความปลอดภัยส่วนตัวของท่าน ซึ่งรวมไปถึงทรัพย์สินของท่าน เพื่อการปกป้องอาคาร สิ่งอำนวยความสะดวก
-
5. ฐานกฎหมายในการประมวลผลข้อมูล
บริษัทดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลของท่านภายใต้ฐานกฎหมาย ดังต่อไปนี้
-
-
- ความจำเป็นในการป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกายหรือสุขภาพของท่านหรือบุคคลอื่น
- ความจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัทหรือบุคคลอื่น โดยประโยชน์ดังกล่าวมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าสิทธิขั้นพื้นฐาน
ในข้อมูลของท่าน - ความจำเป็นในการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การควบคุมดูแลเกี่ยวกับความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมในสถานที่ทำงาน และทรัพย์สิน
ของบริษัท - ความจำเป็นเพื่อปฎิบัติหน้าที่อันเป็นประโยชน์สาธารณะ
- ฐานความยินยอม สำหรับกรณีที่ไม่สามารถใช้ฐานกฎหมายอื่นใดได้
-
6. ระยะเวลาการเก็บรักษาข้อมูล
เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของการใช้อุปกรณ์กล้องวงจรปิดตามที่คำประกาศฉบับนี้กำหนด บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลในกล้องวงจรปิดที่เกี่ยวข้องกับ
ท่านเป็นระยะเวลาไม่เกิน 3 เดือน นับจากวันที่กล้องวงจรปิดบันทึกภาพ เว้นแต่ในบางกรณีบริษัทอาจเก็บข้อมูลของท่านเป็นระยะเวลานานขึ้นเท่าที่จำเป็น
หรือเท่าที่จำเป็นตามที่กฎหมายกำหนด เช่น ในกรณีมีการใช้สิทธิเรียกร้องหรือการดำเนินคดีตามกฎหมาย การดำเนินการทางวินัย เป็นต้น ทั้งนี้ เมื่อพ้น
ระยะเวลาดังกล่าวบริษัทจะทำการ ลบ ทำลายข้อมูลของท่านต่อไป
7. การเปิดเผยข้อมูล
บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลในกล้องวงจรปิดที่เกี่ยวกับท่านไว้เป็นความลับ และจะไม่เปิดเผย เว้นแต่กรณีที่บริษัทมีความจำเป็นเพื่อให้สามารถบรรลุ
วัตถุประสงค์ตามที่ได้ระบุในคำประกาศฉบับนี้ บริษัทอาจเปิดเผยข้อมูลในกล้องวงจรปิดแก่ประเภทของบุคคลหรือนิติบุคคล ดังต่อไปนี้
-
-
- หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด ผู้ให้คำปรึกษา เพื่อช่วยเหลือ สนับสนุนในการบังคับใช้กฎหมาย หรือเพื่อการดำเนินการ
สืบสวน สอบสวน หรือการดำเนินคดีความต่าง ๆ - ผู้ให้บริการซึ่งเป็นบุคคลภายนอก เพื่อความจำเป็นในการสร้างความมั่นใจในเรื่องการป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย สุขภาพ
รวมทั้งทรัพย์สินของท่านหรือบุคคลอื่น - พนักงานของบริษัท ซึ่งมีหน้าที่หรือได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่ประมวลผลข้อมูลของท่าน
- หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด ผู้ให้คำปรึกษา เพื่อช่วยเหลือ สนับสนุนในการบังคับใช้กฎหมาย หรือเพื่อการดำเนินการ
-
8. สิทธิของเจ้าของข้อมูล
ท่านซึ่งเป็นเจ้าของข้อมูล มีสิทธิดังต่อไปนี้
-
-
- ขอเข้าถึงและขอรับสำเนาข้อมูลที่เกี่ยวกับตน ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของบริษัท หรือขอให้เปิดเผยถึงการได้มาซึ่งข้อมูลดังกล่าวที่ตน
ไม่ได้ให้ความยินยอม - ขอให้บริษัทดำเนินการให้ข้อมูลนั้นถูกต้องเป็นปัจจุบัน สมบูรณ์ และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด หากบริษัทไม่ดำเนินการตามที่ท่านร้องขอ
บริษัทจะบันทึกคำร้องขอของท่านพร้อมด้วยเหตุผลเอาไว้ - ขอรับข้อมูลที่เกี่ยวกับตนจากบริษัทได้ ในกรณีที่บริษัทได้ทำให้ข้อมูลนั้นอยู่ในรูปแบบที่สามารถอ่านหรือใช้งานโดยทั่วไปได้ด้วยเครื่องมือ
หรืออุปกรณ์ที่ทำงานได้โดยอัตโนมัติ และสามารถใช้หรือเปิดเผยข้อมูลได้ด้วยวิธีการอัตโนมัติ - คัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวกับตน ที่กฎหมายอนุญาตให้เก็บได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล
เมื่อใดก็ได้ - ขอให้บริษัทลบหรือทำลาย หรือทำให้ข้อมูลของท่านเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวท่านได้ ในกรณีตามที่กฎหมายกำหนด
- ขอให้บริษัทระงับการใช้ข้อมูลได้ ในกรณีตามที่กฎหมายกำหนด
- ถอนความยินยอมเสียเมื่อใดก็ได้ อย่างไรก็ตาม ท่านไม่อาจเพิกถอนความยินยอมได้ ถ้ามีข้อจำกัดสิทธิในการเพิกถอนโดยกฎหมายหรือ
สัญญาที่ให้ประโยชน์แก่ท่าน - ร้องเรียนในกรณีที่บริษัทหรือผู้ประมวลผลข้อมูล รวมทั้งลูกจ้างหรือผู้รับจ้างของบริษัทหรือผู้ประมวลผลข้อมูล ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม
กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือประกาศที่ออกตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล - สิทธิอื่นๆ ตามที่กฎหมายกำหนด
- ขอเข้าถึงและขอรับสำเนาข้อมูลที่เกี่ยวกับตน ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของบริษัท หรือขอให้เปิดเผยถึงการได้มาซึ่งข้อมูลดังกล่าวที่ตน
-
ท่านสามารถใช้สิทธิดังกล่าวได้ โดยยื่นคำร้องเป็นลายลักษณ์อักษรต่อบริษัทหรือเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ตามแบบฟอร์มและช่องทางที่
บริษัทกำหนด โดยบริษัทจะพิจารณาและแจ้งผลการพิจารณาคำร้องดังกล่าว ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้อง ทั้งนี้บริษัทหรือเจ้าหน้าที่คุ้มครอง
ข้อมูลส่วนบุคคล อาจปฏิเสธคำร้องดังกล่าวได้ในกรณีที่มีกฎหมายกำหนดไว้
9. มาตรการด้านความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล
บริษัทให้ความสำคัญด้านความปลอดภัยของข้อมูลของท่าน เพื่อให้ท่านมั่นใจว่า บุคลากรของบริษัทและบุคคลภายนอกที่ดำเนินการในนามของ
บริษัทได้ปฏิบัติตามมาตรฐานด้านการคุ้มครองข้อมูลที่เหมาะสม ซึ่งรวมถึงหน้าที่ในการป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล
บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลของท่านไว้เป็นอย่างดีตามมาตรการเชิงเทคนิค (Technical Measure) และมาตรการเชิงบริหารจัดการ
(Organizational Measure) เพื่อรักษาความปลอดภัยในการประมวลผลข้อมูลที่เหมาะสม และเพื่อป้องกันการละเมิดข้อมูล โดยบริษัทได้กำหนด
นโยบาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ในการคุ้มครองข้อมูล รวมถึงมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้รับข้อมูลไปจากบริษัทเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลนอก
วัตถุประสงค์ หรือโดยไม่มีอำนาจหรือโดยมิชอบ ทั้งนี้บริษัทได้มีการปรับปรุงนโยบายระเบียบและหลักเกณฑ์ดังกล่าวเป็นระยะตามความจำเป็นและเหมาะสม
นอกจากนี้ผู้บริหาร พนักงาน ผู้รับจ้าง ตัวแทน ที่ปรึกษา และผู้รับข้อมูลจากบริษัทมีหน้าที่ต้องรักษาความลับของข้อมูลตามมาตรการรักษาความลับที่
บริษัทกำหนด รวมถึงข้อตกลงในการประมวลผลข้อมูล
บริษัทดำเนินการทบทวนและปรับปรุงขั้นตอนและมาตรการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลของบริษัทให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ เพื่อให้ได้ระดับความ
ปลอดภัยของข้อมูลที่เหมาะสมกับความเสี่ยง และให้การรักษาความลับของข้อมูล ความสมบูรณ์ ความถูกต้อง และความพร้อมใช้งานในการประมวลผล
ข้อมูลเป็นไปอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีมาตรการในการป้องกันการสูญหาย การเก็บรวบรวม การเข้าถึง การใช้ การดัดแปลง การแก้ไข การลบ การทำลาย
หรือการเปิดเผยข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต
10. การแก้ไขเพิ่มเติมคำประกาศเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว
ในการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงคำประกาศฉบับนี้ บริษัทอาจพิจารณาแก้ไขเปลี่ยนแปลงตามที่เห็นสมควร และจะทำการแจ้งให้ท่านทราบผ่าน
ช่องทางการสื่อสารของบริษัท อย่างไรก็ดี บริษัทขอแนะนำให้ท่านโปรดตรวจสอบเพื่อรับทราบคำประกาศฉบับใหม่อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะก่อนที่ท่าน
จะเข้ามาในพื้นที่ของบริษัท
การเข้ามาในพื้นที่ของท่าน ถือเป็นการรับทราบตามข้อตกลงในคำประกาศฉบับนี้ ทั้งนี้ โปรดระงับการเข้าพื้นที่ หากท่านไม่เห็นด้วยกับข้อตกลงใน
คำประกาศฉบับนี้ หากท่านยังคงเข้ามาในพื้นที่ต่อไปภายหลังจากที่คำประกาศฉบับนี้มีการแก้ไขและได้ประกาศในช่องทางข้างต้นแล้ว จะถือว่าท่านได้
รับทราบการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวแล้ว
11. ช่องทางการติดต่อ
ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล (Data Controller)
บริษัท เอ็นเอ็มบี-มินีแบ ไทย จำกัด และบริษัทมินิแบ เอวิเอชั่น จำกัด
เลขที่ 1 หมู่ที่ 7 ต.เชียงรากน้อย อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา 13180
โทรศัพท์ 035-361439 ต่อ 1789 โทรสาร 035-361477
อีเมล์ MinebeaMitsumiCare@minebea.co.th
คำประกาศเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวฉบับนี้ มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 เป็นต้นไป